จิตรกรรมเป็นกิจกรรมการสร้างสรรค์อย่างหนึ่งของมนุษย์ เริ่มปรากฏในยุคหินเก่า ระหว่างประมาณ 10,000 B.C. และ 20,000 B.C.    โดยมนุษย์เผ่าแรก คือ โครมันยอง ( Cro - Magnon ) เป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากธรรมชาติ และจากการดำรงชีวิตของ ตน มนุษย์เผ่านี้ถ่ายทอดงานจิตรกรรมไว้บนผนังถํ้า อัลตามิรา และถํ้าลาสโค ทางตอนใต้ ของประเทศฝรั่งเศส ( Altamira and lascaux ) ซึ่งปรากฏผลงานจนถึงปัจจุบัน

งานจิตรกรรมที่เหลืออยู่บนผนังถํ้านี้น ส่วนมากเป็นภาพสัตว์แสดงอาการเคลื่อนไหว รวมอยู่กันเป็นฝูง ๆ มีรูปคนปนอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย ลักษณะของภาพเป็นการแสดงอิริยาบถ ต้านต่าง ๆของสัตว์ (Mixed Views) เช่น เขียนส่วนลำตัวเป็นรูปต้านข้าง (Profile) ศีรษะ เป็นรูปต้านหน้า ขา บางภาพก็แสดงเพียงสองขา บางภาพก็แสดงสี่ขา ซึ่งนับว่าเป็นความ ฉลาดในการถ่ายทอดภาพที่ยาก ให้มองเห็นแล้วเข้าใจด้วยวิธีการง่าย ๆ

จิตรกรรมระยะแรกไม่สามารถที่จะแยกว่าเป็นการวาดภาพโดยเฉพาะ เพราะเป็นลักษณะ ผสมของการวาดเขียน การระบายสี และประติมากรรม บางแห่งก็มีการเซาะร่องผนังถํ้าให้ลึก แล้วระบายสีในช่องนั้น ๆ เพื่อความประสงค์ที่จะให้เส้นรอบนอกเด่นชัดเจนขึ้น นักโบราณคดี ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพเขียนเหล่านั้นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อของมนุษย์ที่สำคัญๆ 3 ประการ คือ ความเชื่อเกี่ยวกับความตาย แสดงเป็นภาพสัตว์ใต้รับความบาดเจ็บ ความเชื่อ เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ แสดงเป็นภาพที่แสดงอวัยวะสืบพันธุของสัตว์เด่นชัด และความเชื่อ เกี่ยวกับความสำนึกบาป ซึ่งแสดงเป็นภาพสัตว์มีสักษณะสวยงาม อย่างไรก็ตาม งานจิตรกรรม ในระยะแรก ก่อนประวัติศาสตร์นี้แสดงให้คนรุ่นหลังเข้าใจว่า มนุษย์ในสมัยก่อนนั้นมีความคิด สร้างสรรค์ พยายามถ่ายทอดธรรมชาติด้วยวิธีการที่สร้างสื่อร่วมกันในสังคม ตามความเชื่อ หรืออภินิหารต่าง ๆ และศิลปีนผู้เขียนภาพเข้าใจว่า คงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มชน เมื่อมนุษย์รู้จัก ประดิษฐ์ตัวหนังสือ รู้จักใช้สัญลักษณ์ มีบริเวณ'ที่อยู่อาศัยตามลุ่มแม่นั้าแน่,นอน ซึ่งถือเป็นยุค ประวิดศาสตร์ อารยธรรมตะวันตก การเขียนภาพเริ่มมีบทบาทที่สำคัญยิ่งของอาณาจักรนั้น ๆ เพราะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางทำความเข้าใจในสังคม สนองความเชื่อเกี่ยวกับหัวหน้าของสังคม นั้น ๆ

 

ศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic)

งานศิลปะได้เริ่มมีการสร้างกันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ ยุคหินเก่าตอนปลาย ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 15,000- 10,000 ปีมานั้น มนุษย์ได้เขียนภาพสีและขูดขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่าสัตว์และภาพลวดลายเรขาคณิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวัน และแสดงความสามารถในการล่าสัตว์ ภาพเหล่านี้มักระบายด้วยถ่านไม้ และสีที่ผสมกับไขมันสัตว์ พบได้ทั่วไปในประเทศฝรั่งเศส และภาคเหนือของสเปนที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ถ้ำลาสโกซ์ในฝรั่งเศส ถ้ำอัลตามิราในสเปนงานศิลปะในยุคเก่าไม่มีเพียงแต่การเขียนภาพเท่านั้น ยังมีการปั้นรูปด้วยดินเหนียว หรือแกะสลักบนกระดูกเขาสัตว์และงาช้างด้วยเรื่องราวที่นิยมทำกันได้แก่เรื่องการล่าสัตว์หรือบางก็มีรูปคน เป็นรูปสตรี ซึ่งอาจมีความหมายถึง การให้กำเนิดเป็นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับชนเผ่า

 

มีการค้นพบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์บนผนังถ้ำ (CAVE PAINTING) ซึ่งเป็นภาพเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานจิตรกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ผนังถ้ำอัลตามิรา (ALTAMIRA) ประเทศสเปน ซึ่งเขียนเป็นภาพวัว ไบซัน ช้างแมมมอส กวางเรนเดียร์ ซึ่งสัตว์ทุกชนิดแสดงการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา และภาพเขียนบนผนังถ้ำอีกแหล่งหนึ่งที่ ถ้ำลาสโคซ์ (LASCAUX) ประเทศฝรั่งเศส อายุราย 20,000 – 13,000 ปี มีรูปม้า กวาง เป็นต้น สีที่นำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นสีที่ได้จากดินสีต่าง ๆ เช่น ดินแดง ดินสีน้ำตาล ดินสีเหลือง สีดำ นำมาจากผงถ่ายไม้หรือเขม่า ผสมกับยางไม้ไขสัตว์หรือน้ำผึ้ง วิธีเขียนใช้พ่นทาหรือใช้ไม้ทุบปลายให้แตกคล้ายพู่กันระบายสีแบน ๆ

ภาพเขียนที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำมีอยู่ 4 ประเภท คือ 1. รูปมือคน 2. รูปสัตว์ 3. รูปคน 4. รูปลายเรขาคณิต

 

 

 

จิตรกรรมอียิปต์ และเมโสโปเตเมีย

ศิลปกรรมของอียิปต์ก่อรูปลักษณะแน่นอนราว 4,000 ปีและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งาน จิตรกรรมถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานของศิลปกรรมเกือบทุกชนิดศิลปีน อียิปต์มีความเข้าใจในการ ถ่ายทอดรูปแบบของการวาดภาพเป็นอย่างดี และมีความมุ่งหมายที่ส่งเสริมความเชื่อถือ ศรัทธา ของฟาโรห์ และความสง่าผ่าเผยของกษัตริย์ โดยแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างฐานะ ด้วย ขนาดของรูปภาพเขียน เช่น ถ้าเป็นฟาโรห์ก็ให้มีขนาดใหญ่ที่สุด และใหญ่กว่าราชินีสองเท่า ใหญ่กว่าข้าราชการบริพาร 10 เท่า เป็นด้น เรื่องราวส่วนมากบรรยายกิจกรรมของฟาโรห์ เช่น การล่าสัตว์ การประพาสที่ต่าง ๆ และมักจะแสดงสัตว์บกและสัตว์นํ้ารวมกัน วัตถุประสงค์เพื่อบอกเล่าให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และ กำลังท่าอะไร ลักษณะของภาพเขียนก็เป็นแบบสลับด้าน คือ ศีรษะแสดงรูปด้านข้าง ดวงตา รูปด้านหน้า ทรวงอกรูปด้านหน้า และส่วนท่อนขา และอื่น ๆ แสดงรูปด้านข้าง และที่น่าสังเกต อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าภาพคนแสดงท่าทางขวา เท้าทั้งสองจะแสดงเท้าขวาเหมือนกันหมดทั้งขา และถ้าหันหน้าไปทางซ้ายก็แสดงเท้าซ้ายทั้งสองข้างเหมือนกัน การวาดเขียนในแถบแม่นํ้า ไทกริส และยูเฟรติส อันเป็นบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย นั้น มีลักษณะ เป็นแบบอย่างเด่นชัดน้อยกว่าอียิปต์มาก และแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับสงคราม แสดงให้เห็น ถึงกำลังและอำนาจ รวมทั้งความสามารถในการล่าสัตว์ของกษัตริย์ ลักษณะการเขียนก็สลับ ลับด้าน แสดงให้เห็นง่าย ชัดเจน คล้ายกับอียิปต์

 

 

 

จิตรกรรมสมัยกรีกและโรมัน

ถ้าไม่มีแบบอย่างศิลปกรรมและอารยธรรมของกรีกและโรมัน เราคงเดาไม่ได้ว่าอารยธรรม ของยุโรปตะวันตก จะมีลักษณะหน้าตาและรูปแบบเป็นอย่างไร กรีกและโรมันถือว่าเป็นแบบอย่าง ของอารยธรรมตะวันตกทุกแขนง ปรัชญาสำนักต่าง ๆ มีความเจริญมาก ท่าให้เกิดสำนักหลาย แห่ง และพิจารณาเหตุผลต่างกัน สำหรับทางด้านศิลปะและการเขียนภาพนั้น ถือกันว่าเป็นผล ของความพยายามของมนุษย์ที่ถ่ายทอด เลียนแบบธรรม (Art is the Imitation of nature) โดยมุ่ง ที่จะแสดงให้เห็นความเชื่อสำคัญ ๆ สองประการ คือ ความชัดเจน และความบริสุทธิ้ ( Clarity and purity ) ภาพหรือการถ่ายทอดรูปคนถือเป็นรูปแบบอันสำคัญของการเขียนภาพ โดยศิลปีนกรีกพยายามที่จะใช้ความสมบูรณ์และความงามของคนเป็นแบบอย่างจากเรือนร่างอัน สมบูรณ์ของมนุษย์ และแนวคิดนี้ให้อิทธิพลสืบต่อมาจนถึงสมัยพื้นฟู และสมัยหลัง

งานจิตรกรรมนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงรูปแบบของศิลปกรรมประเภทต่าง ๆ แล้ว การเขียนภาพตกแต่งพื้นไหก็กลายเป็นลักษณะการเขียนภาพเด่น ๆ ของกรีกด้วย ศิลปิน กรีกมีความช่านาญในการถ่ายทอดบนผนังโค้งของไห ด้วยการออกแบบผสมกับรูปทรงเลขา คณิต เป็นแบบต่าง ๆ งดงามบนพื้นที่จำกัด และใช้นํ้ายาเคลือบตกแต่งด้วยสีอิฐและสีดำ โดย มีเรื่องราวเกี่ยวกับขนบประเพณี และนักรบ ซึ่งศิลปินนอกจากจะแสดงความชัดเจนแล้ว ยัง แฝงไว้ด้วยจินตนาการของตนเองอีกด้วย เพราะในสมัยหลัง ๆ จินตนาการมีส่วนให้อิทธิพลใน การวาดภาพมากขึ้น จนกลายเป็นการออกแบบตกแต่งไป เพราะในสมัยคลาสสิคนั้น แสดง ลัดส่วนกล้ามเนื้อตามที่เห็นงดงาม แต่มาในสมัยหลังแสดงลักษณะง่าย ๆ อย่างการออกแบบ มากขึ้น

ในสมัยโรมัน การเขียนภาพมีบทบาทสำคัญในการวางพื้นฐานของภาพประดับ ( Mosaic ) และมีส่วนในการแบ่งบริเวณแสงสว่างและเงามีด การถ่ายทอดมีทั้งภาพคนอย่างของกรีก และ ภาพวิวและภาพนิยายโบราณ ครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ ด้วย และในช่วงหลังของสมัยโรมัน ถือว่า เป็นการถ่ายทอดที่แสดงให้เห็นว่า ศิลปินมีความเข้าใจเกี่ยวกับความตื้นลึก ใกล้ใกล สามมิติ และความกลมกลืนของแสงและเงาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นวิธีการถ่ายทอดอันฉลาด แรกเริ่ม ของการเขียนภาพ และลักษณะเด่นของการเขียนภาพ ในสมัยโรมันนั้น ก็มักหนีไม่พ้นรูปคน อันมีร่างกายสมบูรณ์ มีกล้ามเนื้องดงาม ทั้งนื้เพราะว่า โรมันยกย่องนักรบและชัยชนะ ดังนั้น เรื่องราวของภาพคนจึงมีความสำคัญมากต่อศิลปกรรมสมัยโรมัน

 

 

 

จิตรกรรมสมัยกลาง

เมื่ออาณาจักรโรมันแบ่งออกเป็นสองส่วน และช่วงเวลานั้นจนถึงสมัยพื้นฟูราวศตวรรษ ที่ 14 เป็นช่วงเวลาของคริสตศาสนา และระยะเวลาของการแสวงหาแนวการเขียนภาพ ระยะนี้ แทนที่ลักษณะแบบอย่างของงานจิตรกรรมแนวกรีกและโรมัน จะมีอิทธิพล ศิลปิน,ใน'ระยะนี้ได้ พยายามแสดงเรื่องราวของศาสนา จนทำให้การเขียนภาพมีลักษณะเด่นไปทางสัญลักษณ์ หรือเป็นการออกแบบตามแนวสัญลักษณ์มากขึ้น ( Religeous Symbols )

ในทางตอนเหนือของยุโรปช่วงเวลานี้ ศิลปินได้สร้างสรรค์ภาพประกอบคัมภีร์ เป็น เรื่องราวของศาสนา และมีดัวหนังสือประกอบด้วย งานจิตรกรรมจึงเน้นหนักในภาพประกอบ หนังสือ แม้ว่าบางส่วนจะมีลักษณะของกรีกและโรมันแฝงอยู่บ้างก็ตาม แต่แนวโน้มส่วนใหญ่ มุ่งที่ศาสนา พยายามที่จะสั่งสอนคนโดยใช่ภาพประกอบเป็นสำคัญ และระยะนี้การเขียน ตัวหนังสือและการออกแบบหนังสือมีความก้าวหน้ามาก เช่น ภาพประกอบคัมภีร์เวลิลลาฟแสดงถึงเหตุแห่งความชั่วและบาป เป็นต้น ( The Origin Sin form the Velislav Bible ) ซึ่งยุคนี้เป็นยุคของการวาดภาพที่เกี่ยวกับหนังสือโดยเฉพาะ

สรุปไต้ว่า งานจิตรกรรมเท่าที่ปรากฏเป็นหลักฐานนับตั้งแต่มนุษย์รู้จักถ่ายทอดความงาม โดยเริ่มตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงสมัยกลางและสมัยฟันฟู ระยะแรกเป็นช่วงของ การถ่ายทอดประสบการณ!นชีวิตจริงของมนุษย์ เกี่ยวกับการหาอาหาร และเขียน'ไว้บนผนังถาที่ ตนอาศัย ภาพเขียนแสดงความเชื่อในอภินิหารต่าง ๆ เมื่อเริ่มศิลปกรรมอียิปต์ รูปแบบของ การเขียนภาพก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพเขียนบนผนังถํ้า กล่าวคือ เป็นแบบผสมใช้สีด้าน ( Mixed Views ) และบรรยากาศของประเทศ ส่วนในสมัยเมโสโปเตเมีย ซึ่งร่วมสมัยกับ อียิปต์นั้น รูปแบบของการวาดภาพมีเสรีภาพ แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการรบราฆ่าฟัน ซึ่งใน สมัยอียิปต์มุ่งแต่ฟาโรห์ สำหรับในสมัยกรีกและโรมันนั้น ถือได้ว่าเป็นช่วงของการเขียนภาพที่ ศิลปีนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกไต้อย่างมีเหตุผล รู้จักสร้างภาพให้ลึก รู้จักใช้แสงและเงา และให้อิทธิพลต่อมาจนถึงในสมัยกลาง อันเป็นสมัยที่การเขียนภาพประกอบคัมภีร์เจริญสูงสุด

 

 

 

จิตรกรรมสมัยบารอดอิตาลี 1600-1800

ในช่วงเวลาหลังสมัยพื้นฟูที่ได้วางพื้นฐานของการวาดเขียนอย่างมั่นคงแล้ว ศิลปินและ ช่างเขียนรุ่นหลัง ด่างก็พยายามที่จะแสวงหาแนวทางใหม่สำหรับรุ่นตน หรือลักษณะประจำยุค ของตนขึ้น ศิลปินที่ถือว่าเป็นผูริเริ่ม ทั้งทางความคิดและทักษะ คือ คาราวาจิโอ ( Caravaggio ) ทางด้านสังคมและด้านการเมืองในช่วงนี้ปรากฏว่า การปกครองระบอบสมบูรณาญา-สิทธิราช พระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจมาก ความคลายตัวของศาสนาปรากฏชัด จากนิกายคาโธลิค แยกเป็นนิกายอื่น ๆ เช่น นิกายโปรเตสแดสท์ เป็นด้น ตังนั้น ทางด้านการเขียนภาพ จึง ต้องแสวงหาแนวทางใหม่ นอกจากจะเป็นการแสดงความคิดเห็นเฉพาะยุคแล้ว ยังเป็นลักษณะ หรืออีกภาพลักษณ์หนึ่งของยุคที่เรียกชื่อแบบอย่างนี้ว่า บารอค ด้วย ( Baroque )

คาราวาจิโอ พยายามเน้นบางส่วนของแสง เงา ให้เด่นชัดขึ้น ลีลาของเส้นแฝงไว้ด้วย ความเร็วและท่าทางของภาพ ประกอบกับความเด็ดขาดตัดสินใจของศิลปินท่าให้เกิดเป็น ลักษณะการวาดภาพสมัยบารอค สมัยนี้ศิลปินสามารถแสดงความรู้สึกส่วนตัวของตนอย่างเสรี ให้ปรากฏเป็นภาพเขียน เท่า ๆ กับแสดงความรู้สึกของรูปเขียนให้ปรากฏพร้อม ๆ กัน จึงท่าให้ การวาดเขียนมีคุณค่าของความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการของศิลปินมากขึ้น

ลักษณะเด่น ๆ ของจิตรกรรมสมัยบารอคที่ปรากฏเห็นได้ชัดก็คือ การวาดภาพผสม กลมกลืนกับการระบายสี กล่าวคือ ศิลปินใช้ดินสอแรเงา ผสมกับสีนี้า เน้นประกอบด้วยกัน เพื่อให้บริเวณที่เป็นแสง เป็นเงาชัดเจนขึ้น เส้นที่ลากก็แฝงไว้ด้วยความรวดเร็ว เป็นลักษณะ ของท่าทางของหุ่นในภาพ บางทีก็ใช้ลักษณะการเขียนแบบแห้ง ปนกับลักษณะเปียกชุ่มด้วยสี นี้า ประกอบกับลักษณะลีลาของรอยแปลง ( Brush Virtuoso ) เส้นปากกา เส้นดินสอ ด้วย ลีลา จังหวะเด็ดขาด รวดเร็ว นับว่าเป็นยุคบุกเบิกของการใช้วัสดุหลายชนิดผสมกัน เพื่อ คุณค่าทางความรู้สึกของภาพและของศิลปิน การนำเอาเส้นโค้ง เส้นขยุกขยิก มาใช่ในการ วาดภาพ ก็จัดเข้าเป็นลักษณะเด่นของการวาดเขียนสมัยบารอคด้วย

การถ่ายทอดรูปแบบหลายด้าน และแสดงความรู้สึกเกี่ยวพันระหว่างรูปแบบด้านนั้น ๆ ด้วยการบิดงดและการเสริมเน้นของแสงและเงา ท่าให้ภาพวาดเขียนแสดงความรู้สึกเคลื่อนไหว สำหรับความรู้ทางด้านวิชากายวิภาค ที่เน้นกันมากในสมัยพื้นฟูนั้น ปรากฏว่าในสมัยบารอค ศิลปินพยายามแสดงความรู้สึกมากกว่าที่จะแสดงให้เห็นรูปแบบชัดเจน ด้วยวัสดุในการเขียน หลาย ๆ ชนิดรวมกัน

ในสมัยบารอคนี้ นอกจากศิลปินจะแสดงการวาดภาพโดยตรงตามที่ตนมีความรู้สึกแล้ว ศิลปินยังสนใจนำการวาดเขียนไปใช่ในการตกแต่งด้วย ศิลปินชาวเวนิชสองคนที่มีชื่อเสียง และมีผลงานเหลืออยู่เด่นๆคือ จิโอวานี บาทิสทา (Giovanni Battista) ทิโปโล (Tiepolo) และ ฟรานเซสโก ( Francesco )    ซึ่งถือว่าเป็นศิลปินชื่นครู แสดงลักษณะเด่นของบาโรค

ด้วยการแสดงรูปแบบชื่า ๆ กัน ด้วยเส้นให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว และเน้นบางส่วนที่สำคัญ ๆ ด้วยสีนํ้า สีหนัก ๆ หรือลายเส้นชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยผ้าย่น ข้อต่อกล้ามเนื้อ ปมโปนด่าง ๆ และลักษณะที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การแสดงโดยใช้ภาพวิว เป็นส่วนสำคัญ ของภาพ และใช้ภาพคนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งตรงกันข้ามกับสมัยพื้นฟู ซึ่งจะเห็นได้เสมอใน ผลงานชองฟรานเซสโกเป็นส่วนมาก

การเขียนภาพในสมัยบารอค พอสรุปได้ว่า ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากสมัยพื้นฟูและ ศิลปินก็เคยศึกษาตามสำนักช่างของสมัยพื้นฟูมาก่อน แด่ได้เพิ่มเติมสร้างสรรค์ โดยเน้น บางส่วนเด่นชัด ช่วยการใช้วัสดุในการเขียนมากขึ้น พยายามแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับเสรีภาพใน การแสดงออกมากขึ้น ซึ่งในช่วงหลังของศตวรรษที่ 16 มีชื่อเรียกยุคของการวาดเขียนว่า แมนเนอรลิสซึม ( Manerism ) ที่งนื้ เพราะว่าภาพการวาดภาพแสดงความรู้สึกเคลื่อนไหว และท่าทางด้วยแสง สี และเส้น อย่างเด่นชัดนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                           

                                                                                

                       

         

 




     
     
     
     

`